จึงหยุดการขุดไว้ก่อนและได้ขอคำปรึกษาไปยังนักโบราณคดีและเมื่อขุดรื้อสำรวจพบพระสถูปโบราณจากตรงกลางยอดลึกลงไป 10 ฟุต ได้พบท่อกลมก่อด้วยอิฐปากกว้างราว 2 คืบ จึงขุดตามท่อกลมนั้นลงไป ได้พบหีบศิลาสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ทำจากหินทราย 1 หีบ ภายในหีบศิลามีผอบศิลา 3 ผอบ กับหม้อแก้ว 1 หม้อ เต็มไปด้วยข้าวของ เงินทอง เพชร พลอย และเครื่องประดับต่างๆ มากมาย ประกอบด้วย เครื่องหมายพระรัตนตรัย ใบไม้ และนก นอกจากนั้นยังมีแผนทองคำตีตราเป็นสัญลักษณ์ต่างๆ ด้วย แต่สิ่งที่ทำให้มิสเตอร์เปปเปเกิดความตื่นเต้นมากที่สุดก็คือ ภายในหีบศิลามีผอบบรรจุอัฐธาตุประมาณสักฟายมือหนึ่ง (one handful) และตัวผอบมีข้อความจารึกเป็นอักษรพราหมี (Brahmi) น่าจะมีอายุมากกว่า 300 ปี ก่อนคริสต์ศักราช นั่นก็คือ เป็นอักษรที่จารึกมาแล้วประมาณ 2,198 ปี ก่อนการขุดพบ
นักภาษาศาสตร์เชื่อว่า น่าจะเป็นภาษาที่ใช้ในสมัยพระพุทธองค์ทรงพระชนม์อยู่ หรือหลังจากนั้นก็ไม่น่าจะเกินพุทธศตวรรษที่ 2-4 โดยมีข้อความว่า
“อิยะสะลิละนิธะเนพุธะสะภะคะวะตะสะสากิยานะสุกิติภาตีนังสะภะคินิกานะสะปุตะทาลานะ” แปลได้ว่า “ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้านี้ เป็นของตระกูลศากยราช ผู้มีเกียรติงาม กับพระภาดา พร้อมทั้งพระภคินี พระโอรส และพระชายา สร้างขึ้นอุทิศถวาย” จากจารึกและข้อสรุปของนักภาษาศาสตร์ทำให้มั่นใจได้ว่า พระธาตุที่บรรจุอยู่ภายในผอบนี้ เป็นพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นหนึ่งในแปดส่วนที่เจ้าศากยะได้รับไปในคราวแบ่งพระบรมสารีริกธาตุหลังการถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน การขุดพบครั้งนี้จึงเป็นการค้นพบครั้งประวัติศาสตร์ครั้งแรกของโลก
ในระหว่างนั้นพระชินวรวงศ์ หรือพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ได้ผนวชเป็นพระภิกษุได้เดินทางออกจากศรีลังกาไปยังอินเดียพร้อมกับคณะสงฆ์ศรีลังกาจนถึงกรุงกบิลพัสดุ์ได้ไปเห็นการขุดค้นแล้วพบพระบรมสารีริกธาตุ จึงอยากจะนำมาถวายในหลวงรัชกาลที่ 5 จึงเข้าไปขอนายเปปเป้ ฝ่ายนายเปปเป้ได้นำเรื่องนี้ไปให้ข้าหลวงพิจารณา ในที่สุดท่านลอร์ดมารควิสเคอร์ชัน (The Lord Curzon of Kedleston) ผู้ดำรงตำแหน่งอุปราชครองประเทศอินเดีย ซึ่งเคยมาเมืองไทย และมีความคุ้นเคยกับรัชกาลที่ 5 เห็นว่าพระบรมสารีริกธาตุเป็นสมบัติอันล้ำค่าของชาวพุทธ จึงควรมอบสมบัติอันล้ำค่านี้แก่ชาวพุทธ ซึ่งเห็นว่า พระมหากษัตริย์ที่ทรงนับถือศาสนาพุทธสมัยนั้น ก็มีแต่พระเจ้ากรุงสยามเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น |